ต่อมาเมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 7 พรรษา พระบิดาทรงส่งพระองค์ไปศึกษาศิลปะวิทยากับครูวิศวามิตร ซึ่งเป็นครูผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้น
เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา หรือ พระนางพิมพา ภายหลังจากการอภิเษกสมรสได้ 13 ปี ทรงมีพระโอรสพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า ราหุล ในวันหนึ่งขณะที่เสด็จประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงตระหนักดีว่าชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบายไม่สามารถทำให้พระองค์พบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ ต่อมา พระองค์เสด็จออกผนวช ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา หลังจากออกผนวชแล้ว ได้เสด็จดำเนินไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต
เมื่อพระชนมายุได้ 35 ปี ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก็ทรงบรรลุพระอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งหมายความว่า พระองค์ได้ทรงค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิต ณ เวลานั้นเอง พระองค์ได้รับการขนานพระนามใหม่ว่า พุทธะ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่นานหลังจากที่ทรงบรรลุธรรม พระองค์ก็เริ่มประกาศพระธรรมคำสอนเพื่อสวัสดิภาพแห่งมวลมนุษยชาติ พระองค์ประทานพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกมีชื่อว่า พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (พระสูตรที่ว่าด้วยการหมุนล้อพระธรรม) แก่พระปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ หลังจากที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบ โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นหัวหน้าปัญจวัคคีย์ ได้ดวงตาเห็นธรรมและต่อมาก็ได้ทูลขออุปสมบทจากพระพุทธองค์ พระองค์ได้ประทานการอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา(พระองค์ประทานการอุปสมบทให้เอง) ซึ่งถือว่าเป็นพระภิกษุรูปแรกที่เกิดขึ้นในโลก ต่อจากนั้น พระองค์ก็เสด็จดำเนินไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนเป็นระยะเวลาถึง 45 พรรษา โดยไม่มีวันหยุด
และเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา หลังจากที่ทรงวางหลักคำสอนเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว จึงเสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นสาละคู่ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันเพ็ญเดือน 6
ประวัติโดยสังเขป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น