ดับทุกข์..พระพุทธเจ้า...
ที่อุบัติขึ้นมาในโลกมนุษย์ใบหนึ่ง... ที่มีทั้งโลกในอดีต... และโลกปัจจุบัน... มีทั้งหมด ๒๘ พระองค์ และมีพระพุทธเจ้า... องค์ปัจจุบันคือ พระโคตมะ... ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ที่จะอุบัติมาเกิดในโลกมนุษย์... ในอนาคตคือ... พระศรีอาริยเมตไตรย... หรือพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๙...
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งในอดีต... และปัจจุบันรวมทั้งที่จะอุบัติขึ้นมาในอนาคต... พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต่างก็ตรัสรู้ในกฎเดียวกัน... คือกฎความจริงของโลกและชีวิต... หรือกฎของอริยสัจหรืออริยสัจ ๔ หมายถึง... พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์เท่านั้น...
อริยสัจ ๔ ประกอบด้วยความจริง ๔ อย่าง ดังนี้...
๑. ทุกข์ = ทุกข์...
๒. สมุทัย = เหตุของทุกข์...
๓. นิโรธ = ความดับทุกข์...
๔. มรรค = หนทางแห่งการดับทุกข์...
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นสพพัญญู (ผู้รู้)... และเป็นโลกวิทูคือ ทรงรู้จริง... รู้แจ้ง... ของโลกและชีวิตทั้งโลกภายในและโลกภายนอก... หมายถึงรู้แจ้งสภาวะแห่งโลก... รวมทั้งรู้เรื่องในสังขาร... ทั้งหลายและอัธยาศัยสันดานของสัตว์โลก... ที่เป็นไปต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย... หลังจากพระพุทธเจ้าโคตมะ... ตรัสรู้ได้เป็น... พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ... ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖... ที่เราเรียกว่า วันวิสาขบูชา... จากนั้นพระพุทธเจ้าได้นำเอาคำสอน... ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาสอนคน... ให้้้้มีดวงตาเห็นธรรมให้ดับทุกข์ได้... ซึ่งมีทั้งคนธรรมดาทั่วไปและมีทั้ง... เจ้าฟ้า... เจ้าแผ่นดินมากมาย...
ในสมัยของพระพุทธเจ้ามีคนได้ฟังธรรมจาก... พระพุทธเจ้าแล้วสามารถบรรลุธรรมได้มากมาย... และมีการบรรลุธรรมกันอย่างง่ายๆ ไม่เหมือนสมัยนี้... เช่น พระพุทธเจ้าแสดงธรรมครั้งแรกหลังจากบรรลุ... เป็นพระพุทธเจ้าแล้วคือ การแสดงธรรมให้กับ... ปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ คือ ธรรมจักรกับปวัตนสูตร... อันเป็นปฐมเทศนาธรรมดังนี้...
พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางที่ผิดให้ปัญจวัคคีย์... หรือนักบวชว่าไม่ควรประพฤติปฏิบัติอยู่ ๒ ทางคือ...
๑. การประกอบตนให้พันพัวด้วยสุขในกามคือ... ความอยากในกามใคร่ และความอยากในกามวัตถุ...
๒. การประกอบทรมานตนให้ลำบากเปล่า...
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม... ที่บรรพชิตควรปฏิบัติคือ... ทางสายกลางเรียกว่า... มัชฌิมาปฏิปทา หรืออริยมรรค... ประกอบด้วยด้วยมีองค์ ๘... เป็นทางที่จะนำไปสู่ปัญญา... มีความรู้ยิ่งและเพื่อความดับทุกข์ทุกข์... ให้รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ประการ... คือทุกข์กับการดับทุกข์...
เมื่อจบพระธรรมเทศนา โกณฑัญญะ... ได้มีดวงตาเห็นธรรม ถึงกับร้องอุทานออกมาว่า... รู้แล้ว... รู้แล้ว... รู้แล้ว...พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า... โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ... โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ... หมายความว่าโกณฑัญญะได้... ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า... เท่านี้ก็สามารถบรรลุ... เป็นอริยะบุคคล... คือได้เป็นโสดาบันบุคคลนั่นเอง...
หลังจากโกณฑัญญะ... ได้มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว... จึงขอบวชเป็นพระสาวกองค์แรก... ของพระพุทธเจ้า... ต่อมา...วัปปะ... ภัททิยะ... มหานามาะ... อัสสชิ... ได้มีดวงตาเห็นธรรม... ตามลำดับ... ก็ขอบวชเป็นพระสาวกของ... พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์... หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บวชแล้ว... พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรม... อนันตลักขณสูตร... ให้ฟังต่อ... คือ... ให้รู้จักขันธ์ ๕ คือ... รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ... ว่ามันไม่ใช่ของเรา... ถ้ามันเป็นของเราจริง... เราก็สามารถบังคับมันได้... หรือสั่งมันได้...
แล้วพระพุทธเจ้าก็ถาม... แล้วให้ปัญจวัคคีย์ตอบว่าดังนี้...
ขันธ์ ๕ มีรูป (ร่างกาย)... แล้วรูปเป็นของเที่ยงหรือ... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...
ขันธ์ ๕ มีเวทนา (ความรู้สึก)... แล้วเวทนาเที่ยงหรือ... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...
ขันธ์ ๕ มีสัญญา (ความจำ)... แล้วสัญญาเที่ยงหรือ... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...
ขันธ์ ๕ มีสังขาร (ความคิด)... สังขารเที่ยงหรือ... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...
ขันธ์ ๕ มีวิญญาณ (ความรู้)... วิญญาณเที่ยงหรือ... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...
สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์หรือเป็นสุข = ตอบเป็นทุกข์
สิ่งใดที่ไม่เที่ยงมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา... ควรหรือที่จะตามยึดมั่นว่า... นั้นเป็นของเรา = ตอบไม่ควร
จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสสรุปว่า... เมื่อเราเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า... รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ... และการกระทบสัมผัสทางตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... หรือ... พิจารณาภาวนาขันธ์ ๕... และอินทรีย์ ๖...เป็นของไม่เที่ยง... เกิดดับ... เมื่อเห็น... ว่ามันไม่เที่ยง... เกิดดับ... ย่อมเบื่อหน่ายในรูปในสัมผัส... เมื่อเบื่อหน่ายก็คลสยกำหนัด... เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น... เมื่อหลุดพ้นแล้ว... ก็ไม่มีชาติ... ไม่มีภพอีกต่อไป...
จากนั้นปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บรรลุอรหันต์... รวมกันทั้ง ๕ พระองค์ตามลำดับ...
ขอยกตัวอย่างอีกสูตรหนึ่ง...
ยสะ... เป็นบุตรเศรษฐี... แห่งเมืองพาราณสี... มีความเป็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์... วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตนเอง... เป็นเหมือนป่าช้า... เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย... จึงหนีออกจากบ้าน...
ยสะ... เกิดความเบื่อหน่าย... จึงเดินไปด้วย... และพูดไปด้วยว่า...
ที่นี่วุ่นวายหนอ... ที่นี่น่าเบื่อหนอ... ที่นี่วุ่นวายหนอ... ที่นี่น่าเบื่อหนอ...
เมื่อไปพบพระพุทธเจ้าที่... ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน... ในเวลาใกล้รุ่ง... พระพุทธเจ้าตรัสตอบ... ยสะ... ว่า... ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ... ที่นี่ไม่น่าเบื่อหนอ... มากับเราสิแล้วเรา... จะอสดงธรรมให้เธอฟัง...
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าตรัส... เทศนาอนุปุพพิกถา... และอริยสัจ ๔... โปรด... ยสะ... มีความดังนี้...
การยึดมั่นถือมั่นในตัวของตัว... คือขันธ์ ๕... เช่น... การติดในรูป... ติดในกาม... ติดในรูปสมบัติ... ทรัพย์สมบัติ... เป็นทุกข์ทั้งปวง...
ถ้าเธอออกบวชจะเกิดอนิสงค์คือ... ทุกข์ทั้งหลายนี้จะหมดไป... ทุกข์อื่นจะไม่เกิดขึ้น... จากนั้นพระพุทธเจ้าก็สอนการพิจารณา... การสัมผัสที่ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... หลังจากฟังการเทศนาธรรม... ของพระพุทธเจ้าแล้ว... ยสะ... ก็มีดวงตาเห็นธรรม... คือบรรลุเป็น... โสดาบันบุคคล...
ต่อมาเศรษฐีผู้เป็นบิดาออกตามหา... ยสะ... พอมาพบรองเท้า... ก็จำได้ว่านี่คือรองเท้าของ... ยสะ... นี่... จึงเข้่าไปหาพระพุทธเจ้า... แล้วถาม... พระพุทธเจ้าว่า... เรามาตามหาบุตรชื่อ... ยสะ... ไม่ทราบว่าท่านเห็นบุตรชายของข้าพเจ้าหรือไม่...
พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบเศรษฐีว่า... ดูก่อน... ท่านเศรษฐีขอให้ท่าน... จงรับฟังการเทศนาธรรม... จากเราก่อน... แล้วเราจะให้ท่าน... ได้พบกับลูกชายของท่าน... ความจริงแล้ว... ยสะ... ก็นั่งอยู่ใกล้ๆกับเศรษฐีนั่นเอง... คือด้วยฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า... ที่ยังไม่ให้... เศรษฐีได้พบกับ... ลูกชายของตัวเองก็เพราะว่า... จะเป็นอุปสรรคแก่การบรรลุธรรม... ของทั้งสองคน... หลังจากนั้น... พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม... ให้กับเศรษฐี... เหมือนกับการแสดงธรรมให้กับ... ยสะ... ตอนแรก... พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ... ท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดาของ... ยสะ... ก็มีดวงตาเห็นธรรมได้เป็นโสดาบันบุคคล... ส่วน...ยสะ... ก็ได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้า... แสดงให้กับบิดาของตัวเอง... เป็นครั้งที่สอง... จึงบรรลุเป็น... อรหันต์สาวกองค์ที่ ๖...ของพระพุทธเจ้าในขณะนั้นด้วย...
หลังจาก... ยสะ... ขอบวชเป็น... พระมหาสาวกองค์ที่ ๖... ของพระพุทธเจ้า... ก็มีชื่อเต็มว่า... พระยสกุลบุตร... พระยสกุลบุตร... มีพระสหายที่เป็น... บุตรเศรษฐีเหมือนกัน... อยู่ ๔ คน คือ... ๑. สุพาหุ... ๒. วัมละ... ๓. ปุณณชิ... ๔. ควัมปติ... พอได้ทราบข่าวว่า... พระยสกุลบุตร... ออกบวชจึงขอบวชตาม...
พอได้บวชแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงเทศนาธรรม... ให้ฟังมีดังนี้... ท่านทั้งหลายเมื่อใดที่ท่านรู้จัก... อกุศลและรากเหง้าของอกุศล... รูจักชรา... และมรณะ... รูจักเหตุเกิด... แห่งชราและมรณะ... รูจักความดับ... แห่งชราและมรณะ... รู้จักทางที่ดับเหตุ... แห่งชราและมรณะ... รู้จักทุกข์... รู้จักเหตุที่ให้เกิดทุกข์... รู้จักทางที่จะปฏิบัติให้ดับทุกข์... ด้วยเหตุที่รู้เพียงเท่านี้... ก็เรียกว่า... เป็นสัมมาทิฏฐิ... พอพระสหายทั้ง ๔... ของพระยสะได้ฟังการเทศนาธรรม... ของพระพุทธเจ้าจบแล้ว...ก็มีดวงตาเห็นธรรม... บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๔ พระองค์...
อธิบายต่อ
สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง... สัมมามรรคในองค์ ๘... หรือมรรคมีองค์ ๘... สัมมาทิฏฐิ... คือเห็นชอบ... เห็นชอบคือ เห็นความจริงของโลกและชีวิต... เห็นความจริงของโลกและชีวิตก็คือ... เห็นความไม่เที่ยง... เกิดดับ... เห็นความไม่เที่ยง... เกิดดับของโลกก็คือ... เห็นการสัมผัสของ... โลกทางตา... โลกทางหู... โลกทางจมูก... โลกทางลิ้น... โลกทางกาย... โลกทางใจว่า... สัมผัสแล้ว... มันไม่เที่ยง... เกิดดับ... ส่วนการเห็นความจริง... ของชีวิตก็คือ... เห็นความไม่เที่ยง... เกิดดับ... ของขันธ์ ๕... หรือตัวเรา... หรือชีวิตเรา... ว่าตัวเรา... ชีวิตเรา... มันก็ไม่เที่ยง... เกิดดับ... เหมือนกัน...
ในตอนต้นทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าจะสอนธรรม... พระพุทธเจ้าจะสอนให้เรา... รู้จักตัวเราเองก่อน... ว่าตัวเราเป็นใคร... ตัวเราประกอบไปด้วยอะไร... พอรู้จักตัวเราแล้ว... พระพุทธเจ้าจะสอนเรื่อง... ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา... ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร... แล้วจะดับมันได้อย่างไร...
การจะดับความทุกข์ได้ด้วย... การเห็นสัมมาทิฏฐิในมรรค ๘ นั้น... ต้องดับด้วยการพิจารณาขันธ์ ๕... และอินทรีย์ ๖ เท่านั้น...
เล่าต่อ
ต่อมาหลังจาก... พระยสะ... และพระสหายทั้ง ๔... ของพระยสะ... ได้บวชแล้ว... พระยสะ... ยังมีพระสหาย... ที่อยู่ตามหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียงรวม... ๕๐ คน พอได้ทราบข่าวว่า... พระยสะ... และพระสหาย... ของ... พระยสะ... ทั้ง ๔ คนออกบวช... ก็เลยมาประชุมกัน... และมีความเห็นว่า... ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เลย...
ที่ลูกเศรษฐีที่ง ๕ คน ออกบวชเพราะ... เหล่าบรรดาลูกเศรษฐีนั้น... มีพรั่งพร้อมทุกอย่างเช่น... มีทั้งปราสาท ๓ หลัง มีนางสนมเป็นร้อยๆ... แต่ทำไมถึงออกบวช... จึงพร้อมกันไปหา... พระยสะ... พระยสะ... จึงนำหนุ่มชนบททั้ง ๕๐ คน เข้าเฝ้าพระัพุทธเจ้า... พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมให้ฟังและพระสหายชนบท... ทั้ง ๕๐ คน ขอบวชกับพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา...
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้กับกลุ่มพระสหายชนบทว่า... ท่านทั้งหลาย... ภิกษุทั้งหลายในพระธรรมวินัยนี้... ถ้าเธอทั้งหลายได้ตั้งใจฟังว่า... ธรรมทั้งปวง... ไม่ควรยึดมั่น... เมื่อเธอทั้งหลายตั้งใจฟังแล้ว... ย่อมรู้ได้ด้วยปัญญา... เมื่อรู้ได้ด้วยปัญญาแล้ว... ย่อมกำหนดได้ด้วยธรรมทั้งปวง... ว่าพวกเธอได้เสวย เวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว... สุขก็ดี... ทุกข์ก็ดี... ไม่สุข... ไม่ทุกข์ก็ดี... เมื่อรู้... เวทนาที่เกิด... เธอย่อมพิจารณาเห็น... ความไม่เที่ยง... เกิดดับ... ของเวทนาเหล่านั้นคือ... การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป... ของเวทนาเหล่านั้น... ซ้ำแล้วซ้ำเล่า... อยู่เป็นนิจ... เมื่อเห็นความไม่เที่ยงย่อม... เบื่อหน่าย... เมื่อเบื่อหน่ายย่อม... ปล่อยวาง... ย่อมพิจารณาเห็น... ความสละคืน... คือไม่ยึดมั่น... ถือมั่น... ในเวทนา... ย่อมพิจารณาเห็น...ความดับของทุกข์ได้...
หลังจากฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจบแล้ว... พระสหายชนบททั้ง ๕๐ องค์ ก็บรรลุอรหันต์ทั้ง... ๕๐ องค์ จากนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า บัดนี้... เธอทั้งหลาย... ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐแล้ว... ให้เธอทั้งหลายออกไป... เผยแพร่ประกาศพระพุทธศาสนา... เพื่อประโยชน์แก่มหาชนต่อไป... ตามสถานที่ต่างๆ... แต่อย่าไปทางเดียวกันสองรูป แม้แต่ตถาคตเอง... ก็จะเดินทางไปแสดงธรรม... เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป...
ในสมัยพุทธกาล... การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น... ดูช่างง่ายและเร็วมากเพียงพระพุทธเจ้า... แสดงธรรมได้ไม่นานก็มีพระสาวกของพระพุทธเจ้า... ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้หลายองค์คือ...
๑. กลุ่มปัญจวัคคีย์มี ๕ พระองค์...
๒. กลุ่มพระยสะและพระสหายมี ๕ พระองค์...
๓. กลุ่มพระสหายชนบทของพระยสะมี ๕๐ พระองค์...
รวมแล้วก็ ๖๐ พระองค์... ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์สาวก... ยิ่งไปกว่านั้น... ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล... ที่พระพุทธเจ้า... ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์... พระเจ้าสุทโธทนะ... พระบิดาของพระพุทธเจ้า... ได้ส่งทหาร ๑,๐๐๐ คน... ไปทรงทูลเชิญ... พระพุทธเจ้าเพื่อเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์... แต่หลังจากส่งทหารไปครั้งแรก ๑,๐๐๐ คน... ก็ไม่มีใคร... กลับมาที่กรุงกบิลพัสดุ์เลย... ทหารทั้ง ๑,๐๐๐ คน... พอได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง... ต่างก็มีดวงตาเห็นธรรม... และขอบวช... กับพระพุทธเจ้า... จากนั้นไม่นานก็บรรลุธรรม... เป็นพระอรหันต์ทั้ง ๑,๐๐๐ องค์...
ต่อมาพระเจ้าสุทโธทนะ... ได้ส่งทหารไปทรงทูลเชิญ... พระพุทธเจ้าอีก... เพื่อให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์... อีก ๑,๐๐๐ คน รวม ๒,๐๐๐ คน... ทหารเหล่านั้นก็ไม่กลับมา...
พระเจ้าสุทโธทนะ... ได้ส่งทหารไปครั้งที่ ๓... อีก ๑,๐๐๐ คน รวม ๓,๐๐๐ คน... ทหารเหล่านั้นเมื่อได้เข้าเฝ้าและได้ฟัง... พระพุทธเจ้าแสดงธรรม... ต่างก็มี... ดวงตาเห็นธรรม... และขอบวช... กับพระพุทธเจ้า... จากนั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด... รวมสามครั้งเป็น ๓,๐๐๐ องค์... พระเจ้าสุทโธทนะได้ส่งทหารไปอีก... เป็นครั้งที่ ๔ ที่ ๕... ที่ ๖ และ ๗ ๘ ๙... รวมแล้ว ๙ ครั้งเป็น ๙,๐๐๐ คน... ต่างก็ไม่มีทหารคนไหนกลับมาที่กรุงกบิลพัสดุ์เลย... ทหารที่พระเจ้าสุทโธทนะส่งไปทั้งหมดต่างก็ขอบวช... กับพระพุทธเจ้าทั้งหมด รวม ๙,๐๐๐ คน... และบรรลุเป็น... พระอรหันต์ทั้ง ๙,๐๐๐ องค์...
สุดท้าย... พระเจ้าสุทโธทนะจึงตัดสินพระทัยส่ง... นายอำมาตย์ชื่อ... กาฬุทายี... และเป็นพระสหายสนิท... ของพระพุทธเจ้า... เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์... ไปทูลเชิญพระศาสดา... เพื่อเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์... กาฬุทายี... ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า... ที่กรุงราชคฤห์... ได้ฟังพระธรรมเทศนา... บรรลุพระอรหัตตผล... จึงขอบวชเป็นภิกษุ... แล้วจึงทูลเชิญพระพุทธเจ้า... พร้อมพระภิกษุสงฆ์ ๒๐,๐๐๐ กว่ารูป... เสด็จยังกรุงกบิลพัสดุ์...
การบรรลุธรรมของพระสาวกของพระพุทธเจ้านั้น... พระพุทธเจ้าไม่ได้แต่งตั้งให้ใคร... เป็นพระอรหันต์... หรือเป็น... พระสาวกของพระองค์เลย... แต่คนที่จะบรรลุธรรมได้นั้นคือ... องค์ของพระสาวกเองที่ฝึกปฏิบัติเอาเอง... ทั้งฝึกปฏิบัติในชาตินี้... และอาจจะฝึกมาตั้งแต่ในอดีตชาติปางก่อน... ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ... มาแล้วรวม ๒๘ พระองค์... พอมาเกิดในชาตินี้... จึงง่ายต่อการปฏิบัติ... หรือง่ายต่อการบรรลุธรรมนั้นเอง...
มีข้อสันนิษฐานอยู่ ๓ ข้อ... ว่าทำไมจึงมีคนบรรลุธรรม... กันง่ายและมากมายในสมัยพุทธกาล... แต่พอมาถึงสมัยนี้... ถึงไม่มีใครบรรลุ... เป็นพระอรหันต์เลย... ที่ผ่านๆ มามีแต่พระอรหันต์... ที่คนแต่งตั้งขึ้นมาเอง... ส่วนพระอรหันต์ที่ธรรมแต่งตั้งนั้น... แทบจะไม่มี... หรือไม่มีเลยก็ว่าได้... ดังนั้นจึงมีข้อสันนิษฐานอยู่ ๓ ข้อดังนี้...
ข้อ ๑. คือ... เป็นเพราะพระสาวกของพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบุญ... กุศลมามากพอที่จะบรรลุธรรมได้อย่าง่ายดาย...
ข้อ ๒. คือ... เป็นเพราะอานุภาพบุญบารมีขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า... ที่พระสาวกมีโอกาสได้เข้าฟังเทศนาธรรม... กับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง... จึงทำให้... เหล่าพระสาวกสำเร็จธรรมได้ง่ายและมากขนาดนั้น...
ข้อ ๓. คือ... หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานมาแล้วจนถึง... วันนี้นับเวลาได้ ๒,๕๐๐ ปีแล้ว... คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอน... ในสมัยพระพุทธกาลกับ... คำสอนของพระพุทธเจ้าในสมัยนี้... ที่พระสงฆ์... ได้นำมาเผยแพร่ให้สาธุชนชาวพุทธได้ฟัง... ได้ปฏิบัติกันนั้น... ถูกต้อง... หรือครบถ้วน... เหมือนสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน... ไว้ในสมัยพุทธกาลหรือไม่... ข้อนี้น่าคิดและน่าศึกษาต่อเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น